| โรควัณโรค วัณโรคเป็นโรค  ติดต่อเรื้อรัง ทำให้มีการอักเสบในปอด   ซึ่งในผู้ใหญ่มักจะพบส่วนใหญ่เป็นที่ปอด   ในเด็กอาจเป็นที่อวัยวะอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมอง   กระดูก  สาเหตุ     เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium   tuberculosis ซึ่งเป็น acid fast bacillus (AFB) ย้อมติดสี  แดง ซึ่งจะมีอยู่ในปอดของผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา
 ระบาดวิทยาเด็กมักจะ  ได้รับเชื้อจากผู้ใหญ่ที่เป็นวัณโรคระยะแพร่เชื้อ โดยเชื้อจะออกมากับการไอ   จาม ทำให้เชื้อกระจายในอากาศ ในห้องที่ทึบอับแสง   เชื้อวัณโรคอาจมีชีวิตอยู่ได้ถึง 1 สัปดาห์   ถ้าเสมหะที่มีเชื้อลงสู่พื้นที่ไม่มีแสงแดดส่อง   เชื้ออาจอยู่ได้ในเสมหะแห้งได้นานถึง 6 เดือน เชื้อจะกระจายอยู่ในอากาศ   และเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจเอาเชื้อเข้าไป   บางครั้งเชื้ออาจผ่านจากแม่ไปยังลูกในท้องโดยผ่านทางรกได้
 ส่วนใหญ่  โรคนี้จะเป็นกับเด็กที่มีฐานะยากจน อยู่ในชุมชนแออัด   ผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ และตรวจไม่พบวัณโรคในปอดโดย X-rays จะทราบ  ว่าติดเชื้อวัณโรคได้โดยการทดสอบทูเบอร์คิวลินจะให้ผลบวก   ผู้ป่วยวัณโรคในผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะเคยติดเชื้อมาในระยะเด็ก   ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ติดเชื้อเกิดมีอาการของโรคได้แก่   การติดเชื้อในวัยทารก และในวัยหนุ่มสาว   การสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ(ได้รับเชื้อเพิ่มขึ้น)   ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องโดยเฉพาะการติดเชื้อ HIV ผู้ติดยา  เสพติด และโรคขาดอาหาร
 ระยะ  ฟักตัวจากเมื่อแรกรับเชื้อจนถึงเมื่อให้ผลทดสอบทูเบอร์คิวลินเป็นบวกประมาณ 2-10   สัปดาห์ ระยะที่มีโอกาสเกิดอาการของโรคได้มากที่สุดคือ   ในสองปีแรกหลังติดเชื้อโดยทั่วไปแล้วถ้าไม่ได้รับการรักษาเชื้อที่เข้าไปจะ  ซ่อนตัวอยู่เงียบๆ โดยไม่ทำให้เกิดอาการของโรค   ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพที่แข็งแรงดี   ถ้าสุขภาพทรุดโทรมลงหรือมีภาวะเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น   เชื้อที่สงบนิ่งอยู่ก็จะออกมาทำให้เกิดอาการของโรคได้   ในระยะห่างจากการได้รับเชื้อเข้าไปเป็นเดือนหรือเป็นปีก็ได้
 อาการ  และอาการแสดงส่วนใหญ่ของเด็กที่ติดเชื้อ   จะไม่มีอาการของโรคเมื่อทดสอบทูเบอร์คิวลินได้ผลบวก   (ซึ่งเป็นการแสดงว่าเด็กติดเชื้อวัณโรค) การตรวจ X-rays ของปอดก็  จะไม่พบผิดปกติในระยะแรก ถ้าเด็กมีสุขภาพและภาวะโภชนาการดี   โรคจะยังไม่เกิดขึ้นทันทีเมื่อได้รับเชื้อ อาการที่จะพบได้เร็วที่สุดประมาณ   1-6 เดือนหลังติดเชื้อ ที่จะพบได้บ่อย คือ มีต่อมน้ำเหลืองโตที่ขั้วปอด   ที่คอ และที่อื่นๆ แล้วจึงพบผิดปกติที่ปอดและอวัยวะอื่นๆ
 วัณโรค  ปอดเด็กเกือบทั้งหมดที่เป็นวัณโรคจะ  เริ่มต้นเป็นจุดที่ปอดก่อน เด็กจะมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง   บางคนมีอาการไอเรื้อรัง บางคนมีไอซ้อนๆ กันคล้ายไอกรน   เด็กโตบางคนอาจบ่นเจ็บหน้าอก และเหนื่อยหอบ   ถ้าเป็นมากจะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
 วัณโรค  เยื่อหุ้มสมองในเด็กโตจะเริ่มด้วยอาการ  เป็นไข้ 1-2 สัปดาห์ ปวดศีรษะ อาเจียน คอแข็ง ซึมมากจนถึงไม่รู้สึกตัว   บางรายอาจมีอาการชัก   มีอัตราตายสูงและมีความพิการเหลืออยู่ถ้าได้รับการรักษาช้า
 วัณโรค  ของต่อมน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ   รักแร้ ขาหนีบโต และบางรายจะโตมากจนมีแผลแตกออกมา มีหนองข้นไหลออกมา   เป็นแผลเรื้อรัง อาจจะลุกลามมีต่อมน้ำเหลืองโตติดๆ   กันหลายเม็ดถ้าไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านวัณโรคโดยเนิ่นๆ แผลจะไม่หาย
 การ  วินิจฉัยโรคในผู้ที่มีอาการเข้าได้กับวัณโรค   การวินิจฉัยที่แน่นอนได้จากการเพาะแยกเชื้อ M. tuberculosis จาก  น้ำล้างกระเพาะ (gastric wash) ในตอนเช้า   ทั้งนี้เพราะเด็กมักจะกลืนเสมหะที่มีเชื้อวัณโรคลงในกระเพาะเวลากลางคืน   หรือจากเสมหะ จากน้ำในเยื่อหุ้มปอด น้ำไขสันหลัง   (ในรายเยื่อหุ้มสมองอักเสบ) เนื่องจากเชื้อวัณโรคเจริญเติบโตช้า   ดังนั้นการเพาะเชื้อต้องใช้เวลานานถึง 10 สัปดาห์   ปัจจุบันมีวิธีที่อาจใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์ หรือสั้นกว่านี้   การทดสอบทูเบอร์คิวลิน เป็นวิธี skin test ที่ทำได้ง่ายที่สุดในการตรวจ  สภาวะของการติดเชื้อวัณโรคในผู้ที่ไม่มีอาการ   การทดสอบที่ให้ผลบวกแสดงว่ามีการติดเชื้อ M. tuberculosis โดยทั่ว  ไปแล้วในเด็กส่วนใหญ่หลังจากได้รับเชื้อแล้ว 3-6 สัปดาห์   จึงจะให้ปฏิกิริยาทูเบอร์คิวลินเป็นบวก บางรายอาจนานถึง 3 เดือนได้   และปฏิกิริยาบวกนี้จะคงอยู่ตลอดไป ถึงแม้จะได้ยารักษาวัณโรคแล้วก็ตาม
 การรักษาปัจจุบันมียารักษาวัณโรคที่ได้ผลดี  หลายชนิด การรักษาจะให้ยาร่วมกันอย่างน้อย 3 ชนิด เพื่อลดอัตราการดื้อยา   และเพิ่มประสิทธิภาพของยา ยาที่ใช้ได้แก่ Streptomycin,   Pyrazinamide, Rifampin, Isoniacid, Ethambutol การรักษาจะได้ผลดีถ้ามารับ  การรักษาเสียแต่ระยะเริ่มแรก   และจะต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน   และจะต้องดูแลให้พักผ่อนและให้อาหารที่มีโปรตีนสูงและมีไวตามิน   เพื่อช่วยเพิ่มความต้านทานโรค
 การแยกผู้ป่วยผู้ป่วยเด็กโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้อง  แยก ถ้าได้รับยารักษาวัณโรคแล้ว เพราะเด็กมักไม่พบมีแผลในปอด   และไม่ค่อยจะไอมาก โดยเฉพาะเด็กเล็กจะกลืนเสมหะลงในกระเพาะในเด็กโต  หรือผู้ใหญ่ที่มีแผลในปอด (cavities) และตรวจแยกเชื้อ M.   tuberculosis ได้จากเสมหะ ให้แยกประมาณ 1-2 เดือนจนแน่ใจว่ามีผลจากยา   ซึ่งจะทราบได้จากการตรวจเพาะเชื้อจากเสมหะได้น้อยลง อาการไอน้อยลง   ต้องไม่ให้ผู้ป่วยบ้วนเสมหะลงตามพื้น   ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำลายเชื้อในเสมหะ
 การป้องกัน1)   หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่กำลังมีอาการไอ   และยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยารักษาวัณโรค
 2)   ในผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี   ที่ตรวจได้ผลทูเบอร์คิวลินบวกแพทย์จะพิจารณาให้ยาป้องกัน Isoniacid นาน 2-3 เดือน
 3) ให้วัคซีน BCG ป้องกัน   ในประเทศที่มีโรควัณโรคชุกชุม องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เริ่มให้ BCG วัคซีน  ตั้งแต่แรกเกิด วัคซีน BCG ถึงแม้จะมีประสิทธิผลแตกต่างกันจาก  การศึกษาในที่ต่างๆ ตั้งแต่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ไปจนถึงร้อยละ 80   แต่ที่ได้ผลชัดเจน คือ ป้องกันวัณโรคชนิดรุนแรงแบบแพร่กระจาย   และวัณโรคเยื่อหุ้มสมอง ในประเทศไทยให้วัคซีน BCG เมื่อแรก  เกิด
 การค้นหาผู้ป่วยการค้นหาผู้ป่วย   เนื่องจากเด็กมักจะได้รับเชื้อมาจากผู้ใหญ่ที่สัมผัสใกล้ชิด ดังนั้น   เมื่อพบผู้ป่วยวัณโรคจึงต้องสอบสวนค้นหาโรคในผู้ใกล้ชิดให้พบ   และให้การรักษาเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
 ขอขอบคุณเนื้อหาจาก สำนักโรคติดต่อทั่วไป 
 |